ไทย 
English 
ในโลกที่ปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามามีบทบาทในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ AI เข้ามาช่วยในการทำงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนคงเคยใช้ ChatGPT, Google Gemini, Copilot ในการหาคำตอบ หรือช่วยแก้ไขปัญหา จนตอนนี้ AI ได้พัฒนาไปถึงจุดที่สามารถช่วยทำงานหลายอย่างแทนมนุษย์ได้อย่างอิสระ ลดการทำงานที่เป็นแพทเทิร์นซ้ำๆ บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Agentic AI เทคโนโลยีที่สามารถวางแผนและทำงานได้เองเพื่อบรรลุเป้าหมาย
Agentic AI คืออะไร?
Agentic AI คือ AI ที่สามารถรับเป้าหมาย แล้ววางแผนและดำเนินการเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น โดยไม่ต้องรอให้เราสั่งทีละขั้นตอน ต่างจาก AI แบบปกติที่ต้อง prompt ให้ทำงานทีละอย่าง
ตัวอย่าง: ถ้าเราบอกเป้าหมายว่า ‘คัดเลือกผู้สมัครงานที่เหมาะสม’ Agentic AI จะสามารถอ่านเรซูเม่ วิเคราะห์คุณสมบัติ เปรียบเทียบกับ JD และจัดอันดับผู้สมัครได้เองทั้งหมด”
Agentic AI ทำงานอย่างไร?
Agentic AI มีกระบวนการแก้ปัญหาทั้งหมด 4 ขั้นตอน
- รับรู้ (Perceive): รวบรวมและประมวลผลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ฐานข้อมูล ข้อมูลจากแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ ซึ่งเกี่ยวกับการดึงคุณลักษณะ การจดจำรูปแบบต่าง ๆ
- ใช้เหตุผล (Reason): LLM ทำหน้าที่ทำความเข้าใจงาน วางแผน แก้ปัญหา และประสานงานกับโมเดลอื่น ๆ เช่น การสร้างเนื้อหา การประมวลผลภาพ และใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น RAG (Retrieval-Augmented Generation) เทคนิคที่ช่วยให้ AI สามารถดึงข้อมูลเฉพาะขององค์กรมาใช้ในการตอบคำถาม ทำให้คำตอบถูกต้องและตรงประเด็นมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาแค่ความรู้ที่ฝังอยู่ในโมเดล
- ลงมือทำ (Act): เชื่อมต่อกับเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ผ่าน API เพื่อลงมือทำตามสิ่งที่วางแผนไว้ เช่น ส่งอีเมล อัปเดตฐานข้อมูล ระบบสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานได้ด้วย
- เรียนรู้ (Learn): เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องผ่าน Feedback Loop หรือที่เรียกว่า “Data Flywheel” (กระบวนการที่ข้อมูลจากการทำงานจริงถูกนำกลับมาปรับปรุงระบบ ทำให้ AI ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ) โดยข้อมูลจากการทำงานจะนำมาปรับปรุงโมเดล ทำให้ระบบฉลาดขึ้น ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
(อ้างอิงข้อมูลจาก: https://blogs.nvidia.com/blog/what-is-agentic-ai/)
ประโยชน์ของ Agentic AI มีอะไรบ้าง?
- ประหยัดเวลามากขึ้น
สามารถทำงานที่ต้องใช้เวลานานได้ภายในไม่กี่นาที สามารถจัดการงานหลายอย่างพร้อมกันได้
- ลดข้อผิดพลาดจากงานซ้ำซ้อน
ช่วยให้ทำงานแม่นยำมากขึ้น และเกิดความผิดพลาดลดลง โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ เป็นประจำ
- ช่วยตัดสินใจและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ประมวลผลข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อเสนอแนะในการตัดสินใจ
สามารถนำมาปรับใช้กับงานอะไรได้บ้าง?
Agentic AI เข้ามาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่น
- Human Resource (HR): ช่วยให้สามารถคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม โดยใช้ Agentic AI ในการอ่านเรซูเม่ วิเคราะห์คุณสมบัติให้ตรงกับรายละเอียดงาน หรือช่วยตอบคำถามให้กับพนักงานในองค์กร
- Customer Services: ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าให้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยเหลือและดูแลลูกค้าได้แบบ Real-time ตอบคำถามที่ซับซ้อน และส่งต่อให้เจ้าหน้าที่เมื่อจำเป็น
- E-Commerce: บริหารจัดการสต็อกสินค้า ดูแลคำสั่งซื้อของลูกค้า แนะนำสินค้าที่เหมาะสมกับแต่ละคน และติดตามสถานะการจัดส่ง
- Warehouse and Logistics: จัดการและบริหารคลังสินค้า ควบคุมจำนวนสินค้า วางแผนเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่สถานที่ต้นทางถึงปลายทาง
บทสรุป
Agentic AI ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยองค์กรลดความซับซ้อนของงาน ประหยัดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ หลายองค์กรเริ่มหันมาใช้ Agentic AI กันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การนำ Agentic AI มาใช้งานต้องทำอย่างรอบคอบ โดยต้องมีการกำกับดูแล กำหนดขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน และเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
สนใจติดต่อสอบถาม
สามารถติดต่อเราได้ที่ https://www.terabyteplus.com/contact/
หรือเบอร์โทร 02-692-8731-4
Line Official ID : @tera_sales
บริษัทเราจะเปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 – 18.00 น.
